คู่มือดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับผู้ป่วยติดเตียง
สิ่งที่เราไม่เห็น… อาจเป็นความทุกข์ที่รุนแรงที่สุดของผู้ป่วยติดเตียง
ผู้ป่วยติดเตียงจำนวนมาก
ไม่ได้ร้องบอกว่าเจ็บ
ไม่ได้บ่นว่าแสบ
และไม่สามารถบอกได้ว่า
ในช่องปากของเขากำลังเกิดอะไรขึ้น
แต่ความจริงที่พบซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือ
ช่องปากของผู้ป่วยติดเตียงจำนวนมาก
กำลังเผชิญกับปัญหาที่รุนแรงและถูกมองข้ามที่สุดอย่างหนึ่ง นั่นคือ
เชื้อราในช่องปาก
เชื้อราในช่องปาก: ปัญหาที่เกิดง่าย แต่ถูกละเลยมากที่สุด
ผู้ป่วยติดเตียงมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราในช่องปากสูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า ได้แก่
- ปากแห้งจากน้ำลายน้อย
- ไม่ได้ใช้ช่องปากตามธรรมชาติ
- มีคราบอาหาร ยา หรือเสมหะสะสม
- ภูมิคุ้มกันต่ำ
- ไม่สามารถแปรงฟันหรือบ้วนปากเองได้
เมื่อไม่มีการดูแลที่ถูกต้อง
เชื้อราจะเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วในช่องปาก
สิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่คราบขาวบนลิ้นหรือกระพุ้งแก้ม
แต่คือ
- อาการแสบ เจ็บ ระคายเคือง
- แผลในช่องปาก
- กลิ่นปากรุนแรง
- ความไม่สบายตลอดวัน
- และความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อน
ที่น่ากังวลที่สุดคือ
ผู้ป่วยจำนวนมาก เจ็บ แต่พูดไม่ได้
“ไม่ได้กินทางปาก” ไม่ได้แปลว่า “ช่องปากปลอดภัย”
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ
เมื่อผู้ป่วยได้รับอาหารทางสายยาง
จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องดูแลช่องปากอย่างจริงจัง
ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม
การที่ไม่มีอาหารผ่านช่องปาก
ทำให้การทำความสะอาดตามธรรมชาติจากการเคี้ยวและน้ำลายหายไป
ส่งผลให้คราบและเชื้อรา
สะสมได้ง่ายและเร็วกว่าเดิม
ช่องปากจึงกลายเป็น
แหล่งสะสมเชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว
ความเจ็บปวดที่มองไม่เห็น แต่ส่งผลต่อชีวิตทุกวัน
ลองจินตนาการว่า…
- ปากแห้ง แสบตลอดวัน
- มีคราบเชื้อราขึ้นในปาก แต่ไม่มีใครเช็ด
- เจ็บเวลาขยับลิ้นหรือกลืน แต่บอกใครไม่ได้
- มีกลิ่นปาก จนรู้สึกอึดอัด แม้ไม่สามารถสื่อสารได้
สำหรับผู้ป่วยติดเตียง
เชื้อราในช่องปากไม่ใช่เรื่องเล็ก
แต่คือ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทุกวัน
การดูแลช่องปาก คือการป้องกันเชื้อราและรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
การดูแลช่องปากที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ
- ช่วยลดการสะสมของเชื้อรา
- ลดความไม่สบายในช่องปาก
- ลดกลิ่น
- และลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่น ๆ ที่อาจตามมา
ที่สำคัญที่สุด
คือช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้น
แม้ในวันที่พวกเขาไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือได้ด้วยตัวเอง
คู่มือนี้ จึงถูกจัดทำขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ “เงียบ แต่รุนแรง”
คู่มือดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับผู้ป่วยติดเตียงฉบับนี้
ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ดูแล:
- เข้าใจความเสี่ยงของเชื้อราในช่องปากอย่างถูกต้อง
- ดูแลได้อย่างปลอดภัย
- ลดการสะสมของคราบและเชื้อรา
- และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในทุกวัน
เพราะการดูแลช่องปาก
ไม่ใช่เรื่องเล็ก
และไม่ควรถูกมองข้ามอีกต่อไป
สารบัญ
คู่มือดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับผู้ป่วยติดเตียง
- บทนำ: ปัญหาช่องปากที่ถูกมองข้ามในผู้ป่วยติดเตียง
- ความเสี่ยงสำคัญในช่องปากผู้ป่วยติดเตียง
- ปากแห้ง
- คราบสะสม
- คราบขาวที่สัมพันธ์กับเชื้อราในช่องปาก
- สิ่งที่ผู้ดูแลต้องรู้ก่อนเริ่มดูแลช่องปาก
- ข้อจำกัดของผู้ป่วยติดเตียง
- หลักความอ่อนโยนและความสม่ำเสมอ
- การสังเกตความไม่สบายในช่องปาก
- การแยกประเภทผู้ป่วยติดเตียงก่อนเริ่มดูแลช่องปาก
1 แยกตามการทาน/ดื่มและการบ้วน
4.2 แยกตามความสามารถในการทำความสะอาดช่องปาก- แปรงได้ (ผู้ดูแลช่วยแปรงได้ และอาจใช้น้ำยาร่วม)
- แปรงไม่ได้ (เช็ดทำความสะอาดเท่านั้น)
- การเตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์อย่างเหมาะสม
- การจัดท่าผู้ป่วย
- การเตรียมอุปกรณ์สำหรับการแปรงและการเช็ด
- หลักการควบคุมความชื้นในช่องปาก
- ขั้นตอนดูแลช่องปากผู้ป่วยติดเตียง (ทำตามได้ทันที)
1 แนวทางดูแลช่องปากในกลุ่มที่แปรงได้- การใช้แปรงขนนุ่ม
- การใช้น้ำยาทำความสะอาดช่องปากร่วมกับการแปรง
6.2 แนวทางดูแลช่องปากในกลุ่มที่แปรงไม่ได้
- การเช็ดทำความสะอาดช่องปาก
- การควบคุมความชื้นและจังหวะการดูแล
- การดูแลช่องปากเมื่อพบคราบขาวหรือเชื้อราในช่องปาก
- แนวทางการสังเกต
- การดูแลในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม
- สัญญาณในช่องปากที่ควรแจ้งบุคลากรทางการแพทย์
- ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการดูแลช่องปากผู้ป่วยติดเตียง
- ความถี่และความสม่ำเสมอในการดูแลช่องปาก
- บทสรุป: การดูแลช่องปากกับความสบายและคุณภาพชีวิตผู้ป่วยติดเตียง
- คำถามที่พบบ่อย (FAQ) การดูแลสุขภาพช่องปากผู้ป่วยติดเตียง
1. บทนำ: ปัญหาช่องปากที่ถูกมองข้ามในผู้ป่วยติดเตียง
ผู้ป่วยติดเตียงเป็นกลุ่มที่มีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวันหลายด้าน โดยเฉพาะความสามารถในการดูแลสุขภาพช่องปากด้วยตนเอง ช่องปากจึงมักเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่ถูกให้ความสำคัญน้อยกว่าด้านอื่น ทั้งที่มีผลต่อความสบายในชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน
ในชีวิตจริง ผู้ป่วยติดเตียงจำนวนมากไม่สามารถแปรงฟัน บ้วนปาก หรือทำความสะอาดช่องปากได้ด้วยตนเอง บางรายมีการกลืนที่ไม่คล่อง อ้าปากได้น้อย น้ำลายน้อย หรือสื่อสารความไม่สบายได้จำกัด ทำให้ความเปลี่ยนแปลงภายในช่องปากไม่ถูกสังเกตอย่างต่อเนื่อง ปัญหาจึงค่อย ๆ สะสมโดยไม่มีสัญญาณเตือนที่ชัดเจน
เมื่อช่องปากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจพบปากแห้ง คราบสะสม กลิ่นปาก หรือคราบขาวในช่องปาก ซึ่งล้วนส่งผลต่อความรู้สึกไม่สบาย ความอึดอัด และบรรยากาศโดยรวมของการดูแลในแต่ละวัน แม้ผู้ป่วยจะไม่สามารถบอกความรู้สึกเหล่านี้ออกมาได้โดยตรงก็ตาม
อีกประเด็นที่พบได้บ่อยคือ ผู้ดูแลมักให้ความสำคัญกับการดูแลด้านอื่นเป็นหลัก เช่น การให้อาหาร การจัดท่า หรือการดูแลผิวหนัง ขณะที่การดูแลช่องปากถูกมองว่าเป็นเรื่องรอง หรือทำเฉพาะเมื่อเห็นปัญหาชัดเจนแล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริง ช่องปากเป็นพื้นที่ที่มีคราบสะสมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หากขาดความใส่ใจอย่างสม่ำเสมอ
คู่มือฉบับนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ดูแลเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพช่องปากผู้ป่วยติดเตียงอย่างเป็นระบบ เข้าใจข้อจำกัดของผู้ป่วย และสามารถดูแลช่องปากได้อย่างเหมาะสมกับสภาพจริงในชีวิตประจำวัน โดยมุ่งเน้นความอ่อนโยน ความสม่ำเสมอ และการสังเกตความเปลี่ยนแปลงในช่องปาก เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในแต่ละวัน
2. ความเสี่ยงสำคัญในช่องปากผู้ป่วยติดเตียง
ช่องปากของผู้ป่วยติดเตียงมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างจากคนทั่วไปอย่างชัดเจน เนื่องจากการเคลื่อนไหวของช่องปากลดลง การทำความสะอาดด้วยตนเองทำได้จำกัด และมีปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างที่เอื้อต่อการสะสมของคราบในช่องปาก ความเสี่ยงที่พบได้บ่อยจึงมักเกิดขึ้นพร้อมกันมากกว่าหนึ่งประเด็น
ปากแห้ง
ปากแห้งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยติดเตียง โดยมีสาเหตุจากน้ำลายในช่องปากลดลง การเคลื่อนไหวของลิ้นและกระพุ้งแก้มมีน้อย รวมถึงการได้รับยาบางชนิดในชีวิตประจำวัน เมื่อความชุ่มชื้นในช่องปากลดลง ผู้ป่วยอาจรู้สึกอึดอัด ระคายเคือง และมีความไม่สบายในช่องปากมากขึ้น
ปากแห้งยังทำให้คราบต่าง ๆ เกาะติดในช่องปากได้ง่ายขึ้น เนื่องจากไม่มีน้ำลายช่วยพาเศษคราบออกตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผู้ดูแลสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในช่องปากได้ชัดเจนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
คราบสะสม
คราบสะสมในช่องปากผู้ป่วยติดเตียงอาจเกิดจากหลายแหล่ง เช่น น้ำลาย ยา เสมหะ หรือจุลินทรีย์ที่ค้างอยู่ในช่องปาก เมื่อไม่มีการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ คราบเหล่านี้จะสะสมบริเวณฟัน เหงือก ลิ้น และกระพุ้งแก้ม
คราบสะสมทำให้ช่องปากดูไม่สะอาด มีกลิ่น และอาจทำให้พื้นผิวภายในช่องปากเปลี่ยนแปลง ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกไม่สบายในช่องปากมากขึ้น แม้จะไม่สามารถสื่อสารความรู้สึกออกมาได้โดยตรงก็ตาม
คราบขาวที่สัมพันธ์กับเชื้อราในช่องปาก
ในผู้ป่วยติดเตียงบางราย อาจพบคราบขาวในช่องปาก ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายในช่องปาก เช่น ความชื้นไม่สมดุล ปากแห้ง และคราบสะสมต่อเนื่อง คราบลักษณะนี้มักพบที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม หรือเพดานปาก
คราบขาวดังกล่าวอาจทำให้ช่องปากรู้สึกระคายเคือง ไม่สบาย และทำให้ผู้ดูแลสังเกตเห็นความแตกต่างจากสภาพช่องปากปกติ การสังเกตคราบขาวอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผู้ดูแลสามารถปรับวิธีการดูแลช่องปากในชีวิตประจำวันให้เหมาะสมกับสภาพที่พบ
3. สิ่งที่ผู้ดูแลต้องรู้ก่อนเริ่มดูแลช่องปาก
ก่อนเริ่มดูแลช่องปากผู้ป่วยติดเตียง ผู้ดูแลจำเป็นต้องมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับข้อจำกัดของผู้ป่วย ลักษณะของช่องปากในภาวะติดเตียง และแนวทางการดูแลที่เหมาะสมกับสภาพจริง เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างอ่อนโยน สม่ำเสมอ และไม่สร้างความไม่สบายให้กับผู้ป่วย
ข้อจำกัดของผู้ป่วยติดเตียง
ผู้ป่วยติดเตียงมักมีข้อจำกัดหลายด้านพร้อมกัน เช่น อ้าปากได้จำกัด กลืนไม่คล่อง ไอได้ไม่ดี น้ำลายน้อย หรือไม่สามารถสื่อสารความรู้สึกได้ชัดเจน ข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้การดูแลช่องปากไม่สามารถใช้วิธีเดียวกับคนทั่วไปได้ ผู้ดูแลจึงต้องปรับวิธีการดูแลให้เหมาะกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย และหลีกเลี่ยงการใช้แรงหรือความเร่งรีบ
หลักความอ่อนโยนและความสม่ำเสมอ
การดูแลช่องปากผู้ป่วยติดเตียงควรยึดหลักความอ่อนโยนเป็นสำคัญ การทำความสะอาดทีละขั้นตอน ใช้แรงให้น้อยที่สุด และควบคุมความชื้นในช่องปาก จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้นและยอมรับการดูแลได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ความสม่ำเสมอในการดูแลเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ช่องปากดูสะอาดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มากกว่าการดูแลเป็นครั้งคราว
การสังเกตความไม่สบายในช่องปาก
เนื่องจากผู้ป่วยติดเตียงจำนวนมากไม่สามารถบอกความรู้สึกได้ ผู้ดูแลจึงต้องอาศัยการสังเกตเป็นหลัก เช่น สีหน้า การเกร็ง การหลบเลี่ยง การอ้าปากได้น้อยลง หรือการเปลี่ยนแปลงภายในช่องปาก เช่น คราบ กลิ่น หรือความแห้งผิดปกติ การสังเกตอย่างใส่ใจจะช่วยให้ผู้ดูแลปรับวิธีการดูแลช่องปากในชีวิตประจำวันให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยได้มากขึ้น
การมีความเข้าใจในประเด็นเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ดูแลพร้อมสำหรับขั้นตอนถัดไป คือการแยกประเภทผู้ป่วยติดเตียงก่อนเริ่มดูแลช่องปาก เพื่อเลือกวิธีการดูแลที่เหมาะสมกับแต่ละราย
4. การแยกประเภทผู้ป่วยติดเตียงก่อนเริ่มดูแลช่องปาก
ก่อนเริ่มดูแลช่องปาก ผู้ดูแลควรประเมินสภาพของผู้ป่วยติดเตียงทุกครั้ง เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละรายมีความสามารถในการใช้ช่องปาก การกลืน และการตอบสนองต่อความชื้นแตกต่างกัน การแยกประเภทผู้ป่วยอย่างเหมาะสมจะช่วยให้เลือกวิธีการดูแล อุปกรณ์ และจังหวะการทำความสะอาดได้สอดคล้องกับสภาพจริงของผู้ป่วย
การแยกประเภทในคู่มือฉบับนี้แบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลัก ได้แก่
- แยกตามการทาน/ดื่มและการบ้วน
- แยกตามความสามารถในการทำความสะอาดช่องปาก
4.1 แยกตามการทาน/ดื่มและการบ้วน
ผู้ดูแลควรพิจารณาว่าผู้ป่วยติดเตียงยังสามารถทานอาหารหรือดื่มน้ำทางปากได้หรือไม่ รวมถึงสามารถบ้วนปากได้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อระดับความชื้นในช่องปากและวิธีการดูแลที่เหมาะสม
- ผู้ที่ยังทานหรือดื่มทางปากได้บางส่วน
มักยังมีการเคลื่อนไหวของช่องปากอยู่บ้าง แต่ยังต้องควบคุมความชื้นและทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน - ผู้ที่ไม่ทานทางปากและบ้วนไม่ได้
ช่องปากมักใช้งานน้อย น้ำลายน้อย และมีโอกาสเกิดคราบสะสมได้ง่าย ผู้ดูแลควรเน้นการเช็ดทำความสะอาดเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงการใช้น้ำในปริมาณมาก
4.2 แยกตามความสามารถในการทำความสะอาดช่องปาก
นอกจากการพิจารณาการทานและการบ้วนแล้ว ผู้ดูแลควรแยกประเภทตามความสามารถในการทำความสะอาดช่องปาก เพื่อเลือกวิธีการดูแลที่เหมาะสมและปลอดภัยกับผู้ป่วยแต่ละราย
แปรงได้ (ผู้ดูแลช่วยแปรงได้ และอาจใช้น้ำยาร่วม)
ผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถอ้าปากได้พอสมควร และอยู่ในสภาพที่รับการดูแลด้วยแปรงได้โดยไม่แสดงความไม่สบายชัดเจน ผู้ดูแลสามารถใช้แปรงขนนุ่มมากช่วยทำความสะอาดช่องปาก โดยควบคุมความชื้นให้เหมาะสม และอาจใช้น้ำยาทำความสะอาดช่องปากร่วมกับการแปรง เพื่อช่วยให้ช่องปากรู้สึกสะอาดขึ้นในกิจวัตรประจำวัน
แปรงไม่ได้ (เช็ดทำความสะอาดเท่านั้น)
ผู้ป่วยกลุ่มนี้อ้าปากได้จำกัด หรือไม่สามารถรับการดูแลด้วยแปรงได้ ผู้ดูแลควรเลือกการเช็ดทำความสะอาดช่องปากเป็นหลัก โดยใช้ผ้าก๊อซหรือไม้พันสำลี ชุบให้พอหมาด และเช็ดอย่างอ่อนโยนทีละส่วน หากระหว่างการเช็ดพบว่าผู้ป่วยมีอาการไอ หายใจเปลี่ยน หรือแสดงความไม่สบาย ควรลดความชื้นและแบ่งการดูแลเป็นช่วงสั้น ๆ
การแยกประเภทผู้ป่วยติดเตียงก่อนเริ่มดูแลช่องปากจะช่วยให้ผู้ดูแลเลือกแนวทางการดูแลได้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย และเป็นพื้นฐานสำคัญก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ในหัวข้อถัดไป
5. การเตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์อย่างเหมาะสม
การเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มดูแลช่องปากเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้การดูแลเป็นไปอย่างราบรื่น ลดความไม่สบายของผู้ป่วย และช่วยให้ผู้ดูแลสามารถทำความสะอาดช่องปากได้อย่างเป็นระบบ การเตรียมที่เหมาะสมควรครอบคลุมทั้งการจัดท่าผู้ป่วย การเตรียมอุปกรณ์ และการควบคุมความชื้นในช่องปาก
การจัดท่าผู้ป่วย
ก่อนเริ่มดูแลช่องปาก ควรจัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่าที่เหมาะสม โดยยกศีรษะให้สูงจากพื้นเตียงประมาณ 30–45 องศา และหันศีรษะไปด้านข้างเล็กน้อย ท่านี้ช่วยให้ของเหลวในช่องปากไม่ไหลย้อนเข้าสู่ลำคอ และทำให้ผู้ดูแลสามารถมองเห็นภายในช่องปากได้ชัดเจนมากขึ้น
ในกรณีที่ผู้ป่วยอ้าปากได้จำกัด ผู้ดูแลควรจัดท่าให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาพที่ผ่อนคลายมากที่สุด และหลีกเลี่ยงการฝืนอ้าปากหรือเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว ระหว่างการดูแลควรสังเกตการหายใจและสีหน้าของผู้ป่วยอยู่ตลอดเวลา
การเตรียมอุปกรณ์สำหรับการแปรงและการเช็ด
อุปกรณ์ที่ใช้ควรสะอาด พร้อมใช้งาน และเหมาะสมกับวิธีการดูแลช่องปากของผู้ป่วยแต่ละราย โดยควรเตรียมให้ครบก่อนเริ่ม เพื่อหลีกเลี่ยงการหยุดกลางคัน อุปกรณ์พื้นฐานที่ควรมี ได้แก่
- แปรงสีฟันขนนุ่มมาก (สำหรับผู้ที่แปรงได้)
- ผ้าก๊อซสะอาดหรือไม้พันสำลี (สำหรับการเช็ดทำความสะอาด)
- ถุงมือสำหรับผู้ดูแล
- ภาชนะสำหรับวางอุปกรณ์
- ผ้าสะอาดสำหรับซับบริเวณรอบปาก
การเลือกอุปกรณ์ควรสอดคล้องกับการแยกประเภทผู้ป่วยที่ได้ประเมินไว้ก่อนหน้า เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างเหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย
หลักการควบคุมความชื้นในช่องปาก
การควบคุมความชื้นเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลช่องปากผู้ป่วยติดเตียง ผู้ดูแลควรใช้ความชื้นในปริมาณที่จำเป็นเท่านั้น และหลีกเลี่ยงการใช้น้ำหรือของเหลวในปริมาณมาก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่บ้วนไม่ได้หรือมีการตอบสนองต่อความชื้นไม่ดี
หากระหว่างการดูแลพบว่าผู้ป่วยมีอาการไอ หายใจเปลี่ยน หรือแสดงความไม่สบาย ควรลดความชื้นทันที และแบ่งการดูแลเป็นช่วงสั้น ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายมากขึ้น
การเตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์อย่างเหมาะสมจะช่วยให้ขั้นตอนการดูแลช่องปากในหัวข้อถัดไปสามารถทำได้อย่างมั่นใจ เป็นระบบ และสอดคล้องกับสภาพจริงของผู้ป่วยติดเตียงในชีวิตประจำวัน
6. ขั้นตอนดูแลช่องปากผู้ป่วยติดเตียง (ทำตามได้ทันที)
หลังจากแยกประเภทผู้ป่วยและเตรียมผู้ป่วยรวมถึงอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว ผู้ดูแลสามารถเริ่มดูแลช่องปากได้ตามแนวทางที่เหมาะสมกับความสามารถของผู้ป่วยแต่ละราย โดยขั้นตอนในหัวข้อนี้ถูกออกแบบให้สามารถนำไปใช้ได้ทันทีในชีวิตประจำวัน และปรับจังหวะได้ตามสภาพของผู้ป่วย
การดูแลช่องปากในคู่มือฉบับนี้แบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลัก ได้แก่
กลุ่มที่แปรงได้ และ กลุ่มที่แปรงไม่ได้ (เช็ดทำความสะอาดเท่านั้น)
6.1 แนวทางดูแลช่องปากในกลุ่มที่แปรงได้
ผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถรับการดูแลด้วยแปรงได้ โดยมีผู้ดูแลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด และสามารถใช้น้ำยาทำความสะอาดช่องปากร่วมกับการแปรงได้ตามความเหมาะสม
ขั้นตอนปฏิบัติ
- จัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่าที่ศีรษะสูง และหันศีรษะเล็กน้อยตามที่เตรียมไว้
- ใส่ถุงมือ และตรวจดูสภาพช่องปากเบื้องต้น
- ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มมาก ชุบน้ำหรือน้ำยาทำความสะอาดช่องปากในปริมาณพอเหมาะ
- แปรงฟันอย่างเบามือ ทีละซี่ ไม่เร่งรีบ และไม่ฝืนอ้าปาก
- ควบคุมความชื้นในช่องปากตลอดขั้นตอน ไม่ให้มีของเหลวสะสม
- หากต้องการเสริมการดูแลในกิจวัตรประจำวัน สามารถใช้น้ำยาทำความสะอาดช่องปาก เช่น สกายเฟรช ออร์แกนิก ออรัล คลีนเซอร์ ร่วมกับการแปรง เพื่อช่วยให้ช่องปากรู้สึกสะอาดและสดชื่นมากขึ้น
- ซับบริเวณรอบปากให้แห้ง และสังเกตการตอบสนองของผู้ป่วยหลังการดูแล
ทางเลือกเสริม: น้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์ (เฉพาะบางราย)
ในผู้ที่ติดเตียง สามารถอมและบ้วนทิ้งได้อย่างปลอดภัย และมีแนวโน้มเกิดฟันผุได้ง่าย อาจพิจารณาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์เป็นทางเลือกเสริมในกิจวัตรดูแลช่องปาก โดยควรใช้เฉพาะรายที่เหมาะสม และ อยู่ภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์ เพื่อกำหนดความถี่และวิธีใช้ให้สอดคล้องกับสภาพของผู้ป่วย
หากผู้ป่วยบ้วนไม่ได้ หรือมีการตอบสนองต่อของเหลวในช่องปากไม่ดี ไม่ควรเลือกแนวทางนี้
6.2 แนวทางดูแลช่องปากในกลุ่มที่แปรงไม่ได้ (เช็ดทำความสะอาดเท่านั้น)
ผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่สามารถรับการดูแลด้วยแปรงได้ ผู้ดูแลจึงควรใช้วิธีการเช็ดทำความสะอาดช่องปากเป็นหลัก โดยเน้นความอ่อนโยน การควบคุมความชื้น และการทำทีละขั้นตอน
ขั้นตอนปฏิบัติ
- จัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่าที่เหมาะสม และเตรียมอุปกรณ์ให้ครบก่อนเริ่ม
- ใช้ผ้าก๊อซพันนิ้วชี้ หรือไม้พันสำลี ชุบด้วยน้ำยาทำความสะอาดช่องปาก เช่น สกายเฟรช ออร์แกนิก ออรัล คลีนเซอร์ ในลักษณะ “พอหมาด”
- เช็ดทำความสะอาดฟัน เหงือก กระพุ้งแก้ม และลิ้น ทีละส่วน
- ทำอย่างช้า ๆ ไม่ฝืนอ้าปาก และหลีกเลี่ยงการใช้แรง
- หากระหว่างการเช็ดพบว่าผู้ป่วยมีอาการไอ หายใจเปลี่ยน หรือแสดงความไม่สบาย ให้ลดความชื้นและแบ่งการดูแลเป็นช่วงสั้น ๆ
- ซับบริเวณรอบปากให้แห้งทุกครั้งหลังเช็ดเสร็จ
การเช็ดทำความสะอาดช่องปากในกลุ่มนี้ควรทำอย่างสม่ำเสมอ และปรับจังหวะให้เหมาะกับการตอบสนองของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายมากที่สุดในแต่ละวัน
6. การดูแลช่องปากเมื่อพบคราบขาวหรือเชื้อราในช่องปาก
ในผู้ป่วยติดเตียงบางราย ผู้ดูแลอาจสังเกตพบคราบขาวในช่องปาก ซึ่งมักสัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายในช่องปาก เช่น ความชื้นที่ไม่สมดุล ปากแห้ง หรือการมีคราบสะสมต่อเนื่อง คราบลักษณะนี้อาจพบที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม เหงือก หรือเพดานปาก และทำให้ช่องปากดูไม่สบายหรือระคายเคืองได้ง่าย
การดูแลช่องปากในกรณีนี้ควรเน้นการดูแลอย่างอ่อนโยน สม่ำเสมอ และเหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย โดยไม่เร่งรีบหรือใช้วิธีที่รุนแรง
แนวทางการสังเกต
ผู้ดูแลควรหมั่นตรวจดูช่องปากเป็นประจำ โดยสังเกตลักษณะของคราบ สีพื้นผิวในช่องปาก และความเปลี่ยนแปลงจากเดิม หากพบคราบขาวที่ไม่เคยมีมาก่อน เพิ่มขึ้น หรือกระจายเป็นบริเวณกว้าง ควรจดบันทึกไว้เพื่อเปรียบเทียบในครั้งถัดไป
นอกจากนี้ ควรสังเกตการตอบสนองของผู้ป่วยระหว่างการดูแล เช่น การเกร็ง อ้าปากได้น้อยลง หรือแสดงความไม่สบาย ซึ่งอาจบ่งบอกว่าช่องปากมีความไวต่อการสัมผัสมากขึ้น
การดูแลในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม
เมื่อพบคราบขาวหรือเชื้อราในช่องปาก ผู้ดูแลควรให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดช่องปากอย่างสม่ำเสมอ โดยเลือกวิธีที่เหมาะกับความสามารถของผู้ป่วย เช่น การแปรงอย่างอ่อนโยนในผู้ที่แปรงได้ หรือการเช็ดทำความสะอาดในผู้ที่แปรงไม่ได้
การใช้น้ำยาทำความสะอาดช่องปาก เช่น สกายเฟรช ออร์แกนิก ออรัล คลีนเซอร์ สามารถนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรการดูแล เพื่อช่วยให้ช่องปากดูสะอาดและรู้สึกสบายขึ้น โดยควรควบคุมความชื้นให้เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการใช้น้ำหรือของเหลวในปริมาณมาก
หากระหว่างการดูแลพบว่าผู้ป่วยมีอาการไอ หรือแสดงความไม่สบายมากขึ้น ควรลดความชื้นและแบ่งการดูแลเป็นช่วงสั้น ๆ เพื่อให้เหมาะกับสภาพของผู้ป่วยในแต่ละวัน
การดูแลช่องปากในลักษณะนี้ควรทำอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการสังเกตความเปลี่ยนแปลงในช่องปาก เพื่อช่วยให้ผู้ดูแลสามารถปรับวิธีการดูแลให้เหมาะสมกับสภาพจริงของผู้ป่วยติดเตียงในชีวิตประจำวัน
7. สัญญาณในช่องปากที่ควรแจ้งบุคลากรทางการแพทย์
แม้ว่าผู้ดูแลจะสามารถดูแลความสะอาดช่องปากผู้ป่วยติดเตียงในชีวิตประจำวันได้ แต่บางสัญญาณที่พบในช่องปากอาจสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่ควรได้รับการประเมินเพิ่มเติมจากบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ดูแลจึงควรสังเกตและจดจำสัญญาณเหล่านี้ เพื่อแจ้งต่ออย่างเหมาะสมและทันท่วงที
สัญญาณที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ
- พบคราบขาวในช่องปากที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือกระจายเป็นบริเวณกว้าง
- คราบในช่องปากเช็ดออกได้ยาก หรือกลับมาเกิดซ้ำบ่อยผิดปกติ
- ช่องปากมีสีแดง บวม หรือดูไวต่อการสัมผัสมากขึ้น
- ผู้ป่วยแสดงอาการไม่สบายชัดเจนเมื่อมีการดูแลช่องปาก เช่น เกร็ง หลบ หรืออ้าปากได้น้อยลงกว่าปกติ
- มีกลิ่นในช่องปากที่รุนแรงและแตกต่างจากเดิม
- พบแผลในช่องปากที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นเวลานาน
- มีเลือดออกในช่องปากโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ผู้ป่วยมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงระหว่างการดูแลช่องปาก เช่น กระสับกระส่าย หรือไม่ยอมให้สัมผัสบริเวณช่องปาก
แนวทางการปฏิบัติของผู้ดูแล
เมื่อพบสัญญาณดังกล่าว ผู้ดูแลควรบันทึกลักษณะของสิ่งที่พบ วันเวลา และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จากนั้นแจ้งข้อมูลให้บุคลากรทางการแพทย์หรือทันตแพทย์ที่ดูแลทราบ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาและให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย
ในระหว่างรอคำแนะนำเพิ่มเติม ผู้ดูแลควรยังคงดูแลช่องปากด้วยความอ่อนโยน หลีกเลี่ยงการฝืนหรือการใช้แรง และควบคุมความชื้นในช่องปากให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อไม่เพิ่มความไม่สบายให้กับผู้ป่วย
8. ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการดูแลช่องปากผู้ป่วยติดเตียง
แม้ผู้ดูแลจะมีความตั้งใจดีในการดูแลช่องปากผู้ป่วยติดเตียง แต่ในทางปฏิบัติมักพบข้อผิดพลาดบางประการที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบาย และทำให้การดูแลไม่ต่อเนื่องตามที่ควร ข้อผิดพลาดเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากความไม่เข้าใจข้อจำกัดของผู้ป่วย หรือการใช้วิธีดูแลที่ไม่เหมาะกับสภาพจริง
1. ใช้น้ำหรือของเหลวในปริมาณมากเกินไป
ผู้ดูแลบางรายใช้น้ำหรือน้ำยาปริมาณมากขณะดูแลช่องปาก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่บ้วนไม่ได้หรือมีการตอบสนองต่อความชื้นไม่ดี วิธีนี้อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอึดอัด ไอ หรือไม่สบายระหว่างการดูแล แนวทางที่เหมาะสมคือใช้ความชื้นเท่าที่จำเป็น และควบคุมปริมาณของเหลวอย่างใกล้ชิด
2. ฝืนอ้าปากหรือเร่งขั้นตอนมากเกินไป
การฝืนอ้าปากหรือเร่งทำความสะอาดให้เสร็จเร็ว อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความตึงเครียดและต่อต้านการดูแลในครั้งถัดไป ผู้ดูแลควรทำอย่างช้า ๆ เป็นขั้นตอน และหยุดพักเมื่อผู้ป่วยแสดงความไม่สบาย
3. ใช้อุปกรณ์ไม่เหมาะกับสภาพผู้ป่วย
การเลือกใช้แปรงที่แข็งเกินไป หรือใช้อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่แปรงไม่ได้ อาจทำให้ช่องปากระคายเคืองได้ ผู้ดูแลควรเลือกอุปกรณ์ตามการแยกประเภทผู้ป่วยที่ประเมินไว้ก่อนหน้า เพื่อให้การดูแลสอดคล้องกับสภาพจริง
4. ดูแลเฉพาะฟัน แต่ละเลยบริเวณอื่นในช่องปาก
ผู้ดูแลบางรายเน้นดูแลเฉพาะฟัน แต่ละเลยบริเวณเหงือก ลิ้น และกระพุ้งแก้ม ซึ่งเป็นบริเวณที่คราบสะสมเกิดขึ้นได้ง่าย การดูแลช่องปากควรครอบคลุมทุกส่วนอย่างอ่อนโยน เพื่อให้ช่องปากดูสะอาดทั่วถึงมากขึ้น
5. ดูแลไม่สม่ำเสมอ
การดูแลช่องปากเป็นครั้งคราว หรือทำเฉพาะเมื่อเห็นปัญหาชัดเจน อาจทำให้คราบสะสมเกิดขึ้นต่อเนื่อง การดูแลอย่างสม่ำเสมอในกิจวัตรประจำวันจะช่วยให้ผู้ดูแลสังเกตความเปลี่ยนแปลงในช่องปากได้ง่ายขึ้น
6. ไม่สังเกตการตอบสนองของผู้ป่วยระหว่างการดูแล
การมุ่งทำขั้นตอนโดยไม่สังเกตสีหน้า การหายใจ หรือท่าทางของผู้ป่วย อาจทำให้ผู้ดูแลพลาดสัญญาณความไม่สบาย ผู้ดูแลควรหยุดและปรับวิธีการดูแลทันทีเมื่อพบการตอบสนองที่เปลี่ยนไป
9. ความถี่และความสม่ำเสมอในการดูแลช่องปาก
การดูแลช่องปากผู้ป่วยติดเตียงไม่ใช่การทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ความถี่และความต่อเนื่องในการดูแลมีผลต่อสภาพความสะอาดและความสบายของช่องปากมากกว่าการดูแลเป็นครั้งคราวหรือทำเฉพาะเมื่อพบปัญหาชัดเจน
หลักการกำหนดความถี่
ความถี่ในการดูแลช่องปากควรพิจารณาจากสภาพของผู้ป่วยเป็นหลัก เช่น ความสามารถในการแปรงหรือเช็ด ความแห้งในช่องปาก และปริมาณคราบที่พบ ผู้ดูแลอาจเริ่มจากการดูแลอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และปรับเพิ่มหรือลดตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย
ในผู้ป่วยที่ไม่ทานทางปากหรือมีน้ำลายน้อย อาจจำเป็นต้องดูแลช่องปากบ่อยขึ้นในลักษณะการเช็ดทำความสะอาดแบบสั้น ๆ เพื่อให้ช่องปากรู้สึกสบายและไม่แห้งเกินไป ขณะที่ผู้ป่วยที่ยังแปรงได้อาจคงความถี่ตามกิจวัตรประจำวันปกติ โดยเน้นการควบคุมความชื้นและจังหวะการดูแล
ความสม่ำเสมอสำคัญกว่าความแรงของการดูแล
การดูแลช่องปากควรเน้นความอ่อนโยนและทำอย่างสม่ำเสมอ มากกว่าการทำครั้งเดียวอย่างหนัก การดูแลเป็นช่วงสั้น ๆ แต่ทำเป็นประจำ จะช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับการดูแลได้ดีขึ้น และช่วยให้ผู้ดูแลสังเกตความเปลี่ยนแปลงในช่องปากได้ง่ายขึ้นในแต่ละวัน
การปรับความถี่ตามสภาพผู้ป่วย
ผู้ดูแลควรปรับความถี่ในการดูแลช่องปากตามการตอบสนองของผู้ป่วย หากผู้ป่วยแสดงความไม่สบายระหว่างการดูแล ควรแบ่งการดูแลเป็นช่วงสั้น ๆ หลายครั้ง แทนการทำครั้งเดียวเป็นเวลานาน และควรหลีกเลี่ยงการเร่งขั้นตอน
การจดบันทึกความถี่และลักษณะการดูแลในแต่ละวัน อาจช่วยให้ผู้ดูแลเห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของช่องปากได้ชัดเจนขึ้น และใช้เป็นข้อมูลประกอบการสื่อสารกับบุคลากรทางการแพทย์เมื่อจำเป็น
10. บทสรุป: การดูแลช่องปากกับความสบายและคุณภาพชีวิตผู้ป่วยติดเตียง
การดูแลสุขภาพช่องปากเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการดูแลด้านอื่น ๆ แม้จะเป็นเรื่องเล็กในสายตาของหลายคน แต่ในชีวิตประจำวัน ช่องปากคือพื้นที่ที่ส่งผลโดยตรงต่อความสบาย ความรู้สึก และบรรยากาศโดยรวมของผู้ป่วย
เมื่อช่องปากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยมักรู้สึกอึดอัดน้อยลง ช่องปากดูสะอาดขึ้น และยอมรับการดูแลจากผู้ดูแลได้ดีขึ้น ความสม่ำเสมอในการดูแลยังช่วยให้ผู้ดูแลสามารถสังเกตความเปลี่ยนแปลงในช่องปากได้เร็วขึ้น และปรับวิธีการดูแลให้เหมาะกับสภาพของผู้ป่วยในแต่ละช่วงเวลา
คู่มือฉบับนี้เน้นการดูแลช่องปากผู้ป่วยติดเตียงในมุมของการใช้งานจริง โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจข้อจำกัดของผู้ป่วย การแยกประเภทผู้ป่วยก่อนเริ่มดูแล การเตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์อย่างเหมาะสม ไปจนถึงขั้นตอนการดูแลที่อ่อนโยนและสอดคล้องกับสภาพจริงในชีวิตประจำวัน ทั้งในกลุ่มที่แปรงได้และกลุ่มที่ต้องเช็ดทำความสะอาดเท่านั้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การดูแลช่องปากไม่ควรถูกมองว่าเป็นงานเสริม แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันที่ทำอย่างต่อเนื่อง ด้วยความใส่ใจและความเข้าใจในผู้ป่วยแต่ละราย การดูแลในลักษณะนี้ช่วยเสริมความสบาย ลดความอึดอัดในช่องปาก และสนับสนุนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยติดเตียงให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน
11.คำถามที่พบบ่อย (FAQ) การดูแลสุขภาพช่องปากผู้ป่วยติดเตียง
ถาม 1: ผู้ป่วยติดเตียงจำเป็นต้องดูแลช่องปากทุกวันหรือไม่
ตอบ: ควรดูแลช่องปากเป็นกิจวัตรประจำวัน เนื่องจากคราบและความแห้งในช่องปากสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้ผู้ป่วยจะไม่ได้ทานอาหารทางปาก
ถาม 2: หากผู้ป่วยไม่ทานอาหารทางปาก ยังจำเป็นต้องดูแลช่องปากหรือไม่
ตอบ: จำเป็น เพราะคราบในช่องปากสามารถเกิดจากน้ำลาย ยา และเสมหะได้ ไม่ได้เกิดจากอาหารเพียงอย่างเดียว
ถาม 3: ผู้ป่วยติดเตียงควรแปรงฟันหรือเช็ดทำความสะอาดแบบใดดีกว่า
ตอบ: ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ป่วย หากแปรงได้ให้ใช้แปรงขนนุ่ม หากแปรงไม่ได้ควรเลือกการเช็ดทำความสะอาดแทน
ถาม 4: ทำไมต้องแยกผู้ป่วยว่า “แปรงได้” หรือ “แปรงไม่ได้”
ตอบ: เพื่อเลือกวิธีดูแลและอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย ลดความไม่สบายระหว่างการดูแล
ถาม 5: การเช็ดทำความสะอาดช่องปากแทนการแปรงเพียงพอหรือไม่
ตอบ: เพียงพอในผู้ป่วยที่แปรงไม่ได้ หากทำอย่างสม่ำเสมอและครอบคลุมทุกบริเวณในช่องปาก
ถาม 6: ควรใช้น้ำหรือของเหลวมากน้อยแค่ไหนในการดูแลช่องปาก
ตอบ: ควรใช้ความชื้นเท่าที่จำเป็น และควบคุมไม่ให้มีของเหลวสะสมในช่องปาก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่บ้วนไม่ได้
ถาม 7: หากผู้ป่วยไอระหว่างดูแลช่องปากควรทำอย่างไร
ตอบ: ควรหยุดทันที ลดความชื้น และแบ่งการดูแลเป็นช่วงสั้น ๆ ตามความเหมาะสมของผู้ป่วย
ถาม 8: ผู้ดูแลควรดูแลช่องปากวันละกี่ครั้ง
ตอบ: โดยทั่วไปสามารถเริ่มจากวันละอย่างน้อย 2 ครั้ง และปรับตามสภาพช่องปากและการตอบสนองของผู้ป่วย
ถาม 9: ปากแห้งในผู้ป่วยติดเตียงเกิดจากอะไร
ตอบ: มักเกิดจากน้ำลายในช่องปากลดลง การใช้งานช่องปากน้อย และปัจจัยจากการใช้ชีวิตประจำวัน
ถาม 10: คราบขาวในช่องปากผู้ป่วยติดเตียงคืออะไร
ตอบ: เป็นคราบที่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในช่องปาก เช่น ความชื้นไม่สมดุลและคราบสะสม
ถาม 11: หากพบคราบขาวในช่องปากควรทำอย่างไร
ตอบ: ควรดูแลช่องปากอย่างอ่อนโยน สม่ำเสมอ และสังเกตการเปลี่ยนแปลง หากคราบเพิ่มขึ้นควรแจ้งบุคลากรทางการแพทย์
ถาม 12: การดูแลช่องปากทำให้ผู้ป่วยไม่สบายหรือไม่
ตอบ: หากทำอย่างอ่อนโยน ใช้จังหวะช้า และเหมาะกับสภาพของผู้ป่วย จะช่วยลดความไม่สบายได้มาก
ถาม 13: ควรใช้แปรงแบบใดกับผู้ป่วยติดเตียง
ตอบ: ควรใช้แปรงขนนุ่มมาก และควบคุมแรงขณะแปรงให้เบาที่สุด
ถาม 14: ผู้ป่วยที่แปรงได้สามารถใช้น้ำยาทำความสะอาดช่องปากร่วมได้หรือไม่
ตอบ: สามารถใช้ร่วมได้ในกิจวัตรประจำวัน หากผู้ป่วยรับได้และควบคุมความชื้นได้เหมาะสม
ถาม 15: ผู้ป่วยที่สามารถบ้วนได้ สามารถใช้น้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์ได้หรือไม่
ตอบ: สามารถพิจารณาใช้เฉพาะรายที่อมและบ้วนทิ้งได้อย่างปลอดภัย และควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์
ถาม 16: ควรหลีกเลี่ยงอะไรในการดูแลช่องปากผู้ป่วยติดเตียง
ตอบ: ควรหลีกเลี่ยงการเร่งขั้นตอน การใช้แรง การใช้น้ำปริมาณมาก และการฝืนอ้าปาก
ถาม 17: ผู้ดูแลควรสังเกตอะไรระหว่างการดูแลช่องปาก
ตอบ: ควรสังเกตสีหน้า การหายใจ การเกร็ง และการตอบสนองของผู้ป่วยตลอดเวลา
ถาม 18: กลิ่นปากในผู้ป่วยติดเตียงเกิดจากอะไร
ตอบ: มักสัมพันธ์กับคราบสะสม ความแห้งในช่องปาก และการดูแลที่ไม่สม่ำเสมอ
ถาม 19: การดูแลช่องปากช่วยอะไรกับผู้ป่วยติดเตียง
ตอบ: ช่วยให้ช่องปากดูสะอาดขึ้น รู้สึกสบายขึ้น และช่วยให้การดูแลในชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างราบรื่น
ถาม 20: ผู้ดูแลควรทำอย่างไรหากไม่แน่ใจวิธีดูแลช่องปากที่เหมาะสม
ตอบ: ควรปรึกษาหรือขอคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์หรือทันตแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยโดยตรง

